Slim clinic คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง

Slim clinic คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง หนึ่งในศูนย์ดูแลสุขภาพและความงาม ภายใน Ch9wellness center เราไม่ใช่แค่คลินิกลดน้ำหนักทั่วไป แต่พร้อมให้บริการดูแลด้านรูปร่างและการลดน้ำหนักที่ครอบคลุมทุกความต้องการของการดูแลรูปร่าง ตั้งแต่การกระชับรูปร่างให้สมส่วนในผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาน้ำหนักเกินเกณฑ์ แต่ต้องการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ไปจนถึง ผู้มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น (BMI 23-24.9) ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคอ้วนระดับ3 (BMI 30 ขึ้นไป) ที่ต้องรับการรักษาเพื่อสุขภาพที่ดีด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ผ่านการรับรองความปลอดภัย และมาตรฐานสากล นอกจากนี้เรายังพร้อมดูแลต่อเนื่องหลังจากการลดน้ำหนัก เช่น หนังย้วย หรือตกแต่งหน้าท้องให้สวยงาม พร้อมอวดหุ่นสวยได้ทุกมุมมอง ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทางไม่ว่าจะเป็น อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับ ศัลยแพทย์ผ่าตัดแผลเล็กผ่านกล้อง ศัลยแพทย์ตกแต่ง ควบคุมมาตรฐานภายใต้โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต

 

บริการหลักของคลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง

  1. โปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Slim P)
  2. โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูน (Slim G-Ball)
  3. โปรแกรมกลืนบอลลูนเพื่อลดน้ำหนัก (Quick Slim Ball)
  4. ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Gastric Sleeve Surgery)
  5. กระชับผิว ลดเซลลูไลท์ด้วย RF Body Firming
  6. ตกแต่งไขมันหน้าท้อง
  7. สลายไขมันด้วย Vaser
  8. การดูดไขมันแบบเซ็กซี่ไลน์ (Sexy line) และ สร้างซิกแพค

 

การลดน้ำหนักด้วยหัวใจสำคัญ คือ การควบคุมการทานอาหาร ทานอาหารแค่ให้เพียงพอ และทานอาหารให้น้อยลงเมื่อต้องการลดน้ำหนัก ถ้าคำนวณให้ละเอียดก็คือ การทานอาหารทั้งวันรวมกันแล้วได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน ก็จะทำให้น้ำหนักลดลง แต่ปัญหาที่พบคือ เราทานอาหารเกินความจำเป็น และใช้พลังงานในแต่ละวันน้อยลง หรือไม่สอดคล้องกับพลังงานที่มีหรือสะสมไว้ ทั้งสาเหตุจากพฤติกรรมการกิน สภาพแวดล้อม การเข้าสังคมรวมไปถึงความอยากอาหาร และเมื่อเราต้องการลดน้ำหนักส่วนเกิน หรือเริ่มดูแลรูปร่าง โดยการควบคุมอาหาร อุปสรรคสำคัญก็คือ “ความหิว” ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรากินอาหารในปริมาณลดลงจากปริมาณที่เราเคยรับประทาน เมื่อทนความหิวไม่ได้ เราก็กลับเข้าสู่พฤติกรรมการกินที่คุ้นชินเช่นเดิม ทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว

หลักทางการแพทย์ได้ทำการศึกษา ความอยากอาหาร หรือความหิว เพื่อดูแลสุขภาพให้คนพ้นจากโรคอ้วน ซึ่งจะนำไปสู่โรคต่างๆ ตามมามากมาย นอกจากเรื่องภาพลักษณ์ความสวยงาม จนเกิดเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง จัดหามาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาด้านน้ำหนักของทุกคน

 

1. SLIM P โปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

SLIM Pause ตอบโจทย์ความยากลำบากในการควบคุมอาหาร โดยช่วยให้

  • รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นหลังกินอาหารในปริมาณที่ลดลง
  • ลดความอยากการกินอาหารจุบจิบระหว่างวัน
  • ลดความทุกข์ทรมานจากความหิว แม้ว่าจะกินอาหารลดลงกว่าปกติ

ทำให้พลังงานจากอาหารที่ได้ต่อวันลดลง ต่ำกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ส่งผลให้ร่างกายต้องดึงพลังงานสะสมในรูปไขมันตามร่างกายมาใช้ ทำให้รูปร่างดีขึ้น น้ำหนักลดลง

บริการ SLIM Pause ควบคุมอาหาร หรือควบคุมความหิว เป็นการให้ยาที่เลียนแบบฮอร์โมน GLP1 ที่มีในร่างกาย ช่วยให้เราไม่ให้รู้สึกหิว โดยการฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง เพียงวันละ 1 ครั้ง ในปริมาณยาที่กำหนดตามแต่ละรอบสัปดาห์

ขนาดและวิธีใช้ยาควรใช้ยาตามคำสั่งของแพทย์ รวมถึงได้รับคำแนะนำจากเภสัชกร และสอนวิธีใช้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพเท่านั้น

อาการข้างเคียงที่พบบ่อยเป็นอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและเกิดขึ้นชั่วคราว อาการข้างเคียงมักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกที่ได้รับยา และส่วนใหญ่อาการจะหายไปภายใน 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ เมื่อได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไม่ควรปรับขนาดยาเองเพื่อลดอาการข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

ข้อควรระวังของการใช้โปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรง โรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้ที่รุนแรงซึ่งทำให้กระเพาะอาหารต้องใช้เวลานานขึ้นในการบีบตัวเพื่อส่งอาหารไปที่ลำไส้เล็ก โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัย และยังไม่มีการศึกษาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้หากท่านมีภาวะโรคตับอ่อนอักเสบ โรคถุงน้ำดีอักเสบและนิ่วในถุงน้ำดี โรคไทรอยด์ มีอาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติในขณะพัก สูญเสียน้ำมากผิดปกติหรือขาดน้ำ เป็นโรคไตหรือกำลังฟอกไต เป็นโรคตับ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพราะอาจต้องปรับขนาดยารักษาโรคเบาหวาน และห้ามใช้ยานี้แทนการใช้ยาฉีดอินซูลิน
  • การใช้ยานี้ร่วมกับยาบางชนิดอาจมีผลต่อการรักษาหรือเกิดอันตราย ให้แจ้งแพทย์หากท่านใช้ยาอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ยารักษาโรคเบาหวาน (เช่น ยาไกลเมพิไรด์ ไกลเบนคลาไมด์ เอ็กเซนาไทด์ ลิซิเซนาไทด์ อินซูลิน) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น ยาวอร์ฟาริน)
  • ถ้าท่านปรับขนาดยาของอินซูลิน แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยขึ้นกว่าเดิม
  • เมื่อท่านเริ่มใช้ยา Saxenda สำคัญมากที่ต้องดื่มน้ำมากๆเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป หากมีคำถามหรือข้อกังวลให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ห้ามใช้ยานี้หากตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลผลของยานี้ต่อทารกในครรภ์
  • อย่าให้นมบุตรในระหว่างใช้ยานี้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลว่ายานี้ผ่านน้ำนมไปสู่ทารกได้หรือไม่

การจัดเก็บยาฉีดควบคุมความหิวต้องควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม เช่น ในตู้เย็นอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศาเซลเซียส ยาฉีดหลังเปิดใช้ครั้งแรกแล้วให้เก็บที่อุณหภูมิห้อง มีอายุอยู่ได้ 1 เดือน ห้ามแช่ยาฉีดในห้องแช่แข็ง ควรสวมปลอกยาทุกครั้งเมื่อไม่ได้ใช้งาน ให้ใช้ยาฉีดแต่ละครั้งสำหรับผู้ป่วยรายเดียวเท่านั้น ไม่ควรใช้ร่วมกันถึงแม้จะเปลี่ยนหัวเข็มก็ตาม

 

2. การลดน้ำหนักด้วยการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร

การลดความอ้วนด้วยบอลลูน หรือ การลดน้ำหนักด้วยการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร อยู่ในหลักการที่ว่า เราจะรู้สึกอิ่มหรือไม่อยากอาหาร เมื่อกระเพาะอาหารของเรามีอาหารอยู่เต็มพื้นที่ที่กระเพาะอาหารเรารับได้แล้ว เราก็จะรู้สึกอิ่ม ไม่หิวหรืออยากอาหาร ถ้าคงสภาพนี้ได้นานๆ ก็จะมีพฤติกรรมการทานอาหารน้อยลงจนเป็นนิสัย ไม่กินจุกจิก และถ้ายิ่งเราลดพื้นที่ในกระเพาะอาหารให้รองรับอาหารที่ทานเข้าไปได้น้อยลงด้วย ปริมาณอาหารที่ทานแล้วรู้สึกอิ่มน้อยลง ได้รับพลังงานน้อยลง ร่างกายก็จะนำพลังงานที่สะสมมาใช้แทนด้วย จึงช่วยลดน้ำหนักลงได้ พร้อมกับการปรับพฤติกรรมในระยะยาวได้

การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร เพื่อลดน้ำหนักเป็นการลดพื้นที่ในกระเพาะอาหารโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัดโดยมีกระบวนการหลักๆ คือ

  • ใส่บอลูนในอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
  • ขยายบอลลูนในขนาดที่เหมาะสม
  • นำบอลลูนออกในเวลาที่เหมาะสม

นวัตกรรมทางการแพทย์ปัจจุบันมี 2 วิธี แตกต่างกันที่ วิธีใส่ การขยายขนาด และการนำออก ดังนี้

โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball)

  1. เป็นการใส่และดูตำแหน่งของบอลลูนในกระเพาะอาหาร ด้วยวิธีการส่องกล้องผ่านทางช่องปาก เหมือนส่องกล้องกระเพาะอาหารทั่วไป เมื่อบอลลูนอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ
  2. ขยายบอลลูน โดยใส่น้ำที่ผสมกับสารสีฟ้าที่เรียกว่าเมธิลีนบลูเข้าไปในบอลลูนประมาณ 400-500 ซีซี ปรับตามขนาดของกระเพาะอาหาร และดุลพินิจของแพทย์ แล้วจึงนำกล้องออก โดยบอลลูนสามารถปรับขนาดเพิ่มหรือลดได้ตามความต้องการในภายหลัง
  3. การนำบอลลูนออก บอลลูนชนิดที่ใส่ในกระเพาะด้วยวิธีส่องกล้องนั้นสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารได้นานสูงสุด 1 ปี แต่หากพอใจในน้ำหนักที่ลดลงก็สามารถเอาบอลลูนออกก่อน 1 ปีได้ โดยการส่องกล้อง และปล่อยน้ำในลูกบอลลูนออก และเพื่อนำลูกบอลลูนออกจากร่างกาย

โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball) จึงเหมาะสมกับ

  • ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินค่า BMI ตั้งแต่ 27ขึ้นไป
  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ไม่ต้องการทานยา หรือผ่าตัด
  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักในระยะยาวด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน

ข้อดีของการลดน้ำหนัก ด้วยบอลลูน สามารถลดน้ำหนักได้ผลจริง ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง ไม่โยโย่
เป็นวิธีการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่เกิดแผล และไม่เจ็บ
ลดภาวะเสี่ยงจากโรคเรื้อรังที่เกิดจากความอ้วน ทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ข้อเข่าเสื่อม และอื่นๆ

โอกาสเกิดผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักด้วยวิธีใส่บอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball)

  • อาจเกิดแผล และภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งพบได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ใส่บอลลูนจึงต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปตลอดระยะเวลาที่ใส่บอลลูน
  • บอลลูนรั่วจากการทานอาหารที่มีความแข็งไปกระทบบอลลูนในกระเพาะ เช่น กระดูกอ่อน หรือของร้อนทั้งนี้จะมคำแนะนำด้านโภชนาการให้กับผู้ใส่บอลลูนเลือกทานให้เหมาะสม

ผลลัพธ์ที่ได้จากส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)

จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน หรืออาจจะอิ่มตลอดเวลา ทำให้ทานได้น้อย น้ำหนักลดได้จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นกับพฤติกรรมการทานอาหารในระหว่างที่ใส่บอลลูน และการใช้พลังงานหรือออกกำลังกายด้วย จากประสบการณ์ที่ทำมากว่า 5 ปี มีผู้ที่มีน้ำหนักสูง150กิโลกรัม ใส่บอลลูนด้วยวิธีนี้แล้วสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 77 กิโลกรัมภายใน 1ปี

ดูรีวิวได้ที่ https://youtu.be/AmzX_SG0A1A
 

 

การเตรียมตัวส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)

  • รับประทานยารักษาแผลในกระเพาะอาหารก่อนอาหารเช้าและเย็นเป็นเวลา 14 วัน
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  • ตรวจสุขภาพ (ตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอก คลื่นไฟฟ้าหัวใจ)
  • ส่องตรวจดูกระเพาะอาหารเพื่อดูความพร้อมของกระเพาะอาหาร ในวันที่มาใส่บอลลูน หากพบว่ามีบาดแผลหรือเนื้องอก ต้องเลื่อนการใส่ไปก่อน
  • ต้องงดรับประทานอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ของหมักดองทุกชนิดก่อนใส่บอลลูน งดน้ำเปล่าอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนทำการใส่บอลลูน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ผู้ที่เข้ารับการใส่บอลลูนต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อม โดยแพทย์จะตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจเลือดเบื้องต้น ส่องกล้องเพื่อดูความพร้อมของหลอดอาการและกระเพาะอาหาร
  • รับประทานยาลดกรด Miracid ก่อนอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 14 วัน
  • งดสูบบุหรี่

ขั้นตอนการส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)

  • มาโรงพยาบาลตามวันนัดหมาย
  • ตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
  • วิสัญญีแพทย์ให้ยาสลบ
  • ใช้เทคนิคการส่องกล้องในกระเพาะอาหารเพื่อนำบอลลูนใส่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
  • ใส่น้ำที่ผสมกับสารสีฟ้าที่เรียกว่าเมธิลีนบลูเข้าไปในบอลลูนประมาณ 400-500 ซีซี
  • ปรับหรือเพิ่มลดขนาดของบอลลูนตามความเหมาะสมของกระเพาะอาหาร

หลังจากใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ผู้ที่ใส่บอลลูนต้องพักฟื้นด้วยห้องพักเดี่ยว 2 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อสังเกตอาการและติดตามผลการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสภาพให้เข้ากับบอลลูนในกระเพาะได้เพื่อใช้ชีวิตได้ตามปกติ ลำดับต่อไปจะเป็นการติดตามผลเดือนที่ 1 เดือนที่ 6 และเดือนที่ 12 ตามแพทย์นัด ตลอดจนการนำบอลลูนออกเมื่อครบกำหนด

อาการที่พบหลังส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)

  • เมื่อใส่บอลลูนลดน้ำหนักร่างกายจะทำการปรับตัวทำให้มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น
  • คลื่นใส้ อาเจียน
  • ท้องอืด แน่นท้อง
  • ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายเองได้ภายใน 3–7 วัน

ภาวะแทรกซ้อนของการส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)

สำหรับปัญหาภาวะแทรกซ้อนจากการใส่บอลลูนสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักนั้นโดยรวมพบเพียง 0.27% เมื่อเทียบกับการผ่าตัดกระเพาะอาหารลดความอ้วน ที่มีภาวะแทรกซ้อนมากถึง 7-9% ภาวะแทรกซ้อนของการใส่บอลลูนส่วนใหญ่จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้องช่วงสัปดาห์แรกหลังใส่บอลลูน

ข้อห้ามในการส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)

  • สตรีมีครรภ์ หากมีการตั้งครรภ์ในระหว่างการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก ผู้รับบริการจะต้องให้แพ้นำบอลลูนออกทันที
  • ผู้ที่แพ้ยางซิลิโคน
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เช่น เป็นแผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อนรุนแรง หรือเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร
  • ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวรุนแรงอย่างโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
  • ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักด้วยบอลลูน ปลอดภัย ได้ผลจริง แต่ควรทำในโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางและเชี่ยวชาญ พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์ในการใส่บอลลูน ในกระเพาะอาหาร

การดูแลร่างกาย ระหว่างการใส่บอลลูนลดน้ำหนักไว้ในกระเพาะอาหาร

เนื่องจากการใส่บอลลูนลดน้ำหนักเป็นการลดน้ำหนักโดยการใส่วัสดุลงไปในกระเพาะอาหาร ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึงการรับประทานอาหารเพื่อส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารเป็นหลักสำคัญ ในช่วงแรกของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก จึงต้องได้รับการดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ ซึ่งมีข้อปฏิบัติในการดูแลร่างกาย ดังต่อไปนี้

  1. ในช่วง 1-2 วันแรกของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก เป็นช่วงที่กระเพาะกำลังปรับสภาพเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับบอลลูน สิ่งสำคัญอันดับแรกในการรับประทานคือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และควรเป็นของเหลวที่ย่อยง่ายเพื่อให้ร่างกายปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น ซุป นม น้ำผักสกัด กาแฟ เป็นต้น
  2. หลังจากใส่บอลลูนลดน้ำหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหาร ที่ย่อยได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ไข่ตุ๋น โจ๊ก ข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อร่างกายคุ้นชินกับการรับอาหาร ในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับพื้นที่ในกระเพาะที่ลดลงแล้วควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการและควรมีโปรตีนในทุกมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว
  3. ควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ลดปัญหาท้องผูก
  4. หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันสูง หรือน้ำตาลสูง อย่างเช่น ขนมหวานและเบเกอรี่ เครื่องดื่มที่มีรสหวาน เป็นต้น
  5. ระมัดระวังในการรับประทานอาหารที่มีส่วนแหลมคม เช่น ปลาที่มีก้าง
  6. ในช่วงแรกควรออกกำลังกายเบาๆ ไม่ควรออกกำลังกายเน้นการกระแทกร่างกาย เช่นการแกว่งแขน หรือการเดินช้า ๆ ลักษณะคล้ายการเดินเล่น สามารถออกได้ในช่วงเดือนแรก
  7. 1 เดือนขึ้นไป สามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

วิธีการดูแลน้ำหนักให้คงที่ หลังนำบอลลูนลดน้ำหนักออก

เมื่อการใส่บอลลูนลดน้ำหนักสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยถึง 24 กิโลกรัม ต่อ 1 ปี ขึ้นอยู่กับวินัยและการรับประทานอาหารของผู้ใส่บอลลูน เมื่อครบกำหนดหรือถึงน้ำหนักที่พอใจผู้รับบริการสามารถถอดบอลลูนออกได้ตามต้องการ ซึ่งการถอดบอลลูนหลายคนอาจจะกลัวน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกหรือกลับมาอ้วนใหม่ในที่สุด ดังนั้นข้อปฏิบัติหลังถอดบอลลูนลดน้ำหนักจึงสำคัญ โดยมีข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้

  1. ควบคุมการรับประทานอาหาร เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ การลดน้ำหนักด้วยบอลลูน ควรรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมือนกับตอนที่มีบอลลูนอยู่ในกระเพาะ เมื่อถอดบอลลูนออกกระเพาะอาหารจะมีขนาดเท่าตอนที่ใส่บอลลูนอยู่ไม่สามารถขยายเพิ่มได้ ถ้ารับประทานอาหารเท่าเดิมจะช่วยให้รักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาว
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้น้ำหนักคงที่อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับสุขภาพที่แข็งแรง นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมันแล้วยังช่วยเรื่องการผ่อนคลายความเครียดส่งผลที่ดีต่อสุขภาพจิตใจอีกด้วย
  3. ผ่อนคลายความเครียด ไม่ให้เกิดความรู้สึกกดดัน หรือเครียดจนเกินไป หลากหลายวิธีง่ายๆ ที่สามารถผ่อนคลายความเครียดได้ดี คือ การออกกำลังกาย ดูหนังที่ชอบ ฟังเพลงเพราะๆ ทำงานอดิเรกที่เราสนใจ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หลังนำบอลลูนลดน้ำหนักออก

  1. การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารประเภทที่ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมากในการประกอบอาหาร เช่น ของทอด อาหารติดมัน อาหารผัดโดยใช้น้ำมัน
  2. การรับประทานของหวาน การรับประทานไอศกรีม เค้ก หรือแม้แต่ ชานมไข่มุก ก็เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะมีส่วนผสมของน้ำตาลทรายสูง
  3. การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา การรับประทานอาหารนอกมื้อสำคัญ จะทำให้วินัยการกินผิดไปและระบบการเผาผลาญของร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมด เกิดเป็นการสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย
  4. มีความเครียดสะสม ควรหลีกเลี่ยงความเครียดสะสมเพราะภาวะความเครียด จะทำให้เกิดฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ไปกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเข้าใจว่า ความเครียด จำเป็นต้องใช้พลังงานเยอะ ส่งผลทำให้ เกิดการกินที่มากขึ้น และทำให้กลับมาอ้วนได้ในที่สุด

ราคาสำหรับ โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball)

ราคาเริ่มต้น 149,000 บาท ค่าบริการนี้รวมรายการดังนี้

  • การพบแพทย์ ให้ข้อมูลการทำหัตถการและให้ยา Lab X-ray เตรียมตัวก่อนทำหัตถการ
  • การส่องกล้องกระเพาะอาหารและใส่บอลลูน
  • นอนพักในโรงพยาบาลห้องเดี่ยว 2 คืน
  • การนัดติดตามผลเดือนที่ 1 เดือนที่ 6 และ เดือนที่ 12
  • การนำบอลลูนออก เมื่อครบกำหนด
  • ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ด้วยการส่องกล้อง
  • ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร Gastric Balloon ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด

ข้อควรรู้ก่อนใส่บอลลูนลดน้ำหนัก Slim ball

การใส่ Slim ball กับ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ควรเลือกวิธีใดในการช่วยลดน้ำหนัก

ในผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆมาแล้ว การใช้นวัตกรรมการลดน้ำหนักเป็นตัวช่วยดูจะเป็นทางเลือกที่ดี คำถามคือว่า ระหว่างการลดน้ำหนักด้วยวิธีใส่ Gastric Balloon กับ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Gastric sleeve surgery) ควรใช้วิธีใด

ประเด็นแรก

การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารควรเลือกเป็น “วิธีสุดท้าย” เพราะการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร จะตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 70-80% อย่างถาวร สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังผ่าตัดคือ การกินอาหาร น้ำ ต่อครั้งได้ในปริมาณที่ลดลงกว่าเดิมอย่างมาก และต้องกินวิตามินเสริมตลอดชีวิต เพราะกระเพาะอาหารที่ถูกตัดออกไปนั้น จะทำให้ปริมาณการสร้างกรดในกระเพาะอาหารลดลง

การที่กรดในกระเพาะอาหารสร้างน้อยลง จะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอาหารเช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน B12 วิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้รับการผ่าตัดต้องกินแร่ธาตุเหล่านี้เสริมมากกว่าคนทั่วไป

ประเด็นที่สอง

การตัดลดขนาดกระเพาะอาหารมีข้อบ่งชี้ 2 ประการคือ

  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนคือ มีดัชนีมวลกายมากกว่า 32.5 kg/m2 (BMI > 32.5 kg/m2)
  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่ มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 32.5 kg/m2 แต่มีโรคร่วม เช่น โรค Sleep apnea เป็นต้น

โรคอ้วนคือผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2

ดังนั้นผู้มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนที่ไม่เข้าเกณฑ์การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะตามข้างต้น จึงควรเลือกใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วย Gastric Balloon ก่อนจะเหมาะสมกว่า

ใส่บอลลูนลดน้ำหนักในกระเพาะอาหารเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ทานยาลดน้ำหนัก
  • ผู้ที่ต้องการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
  • ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินค่า BMI เกิน 30
  • การทำบอลลูนในกระเพาะอาหาร ไม่เหมาะกับใคร
  • สตรีมีครรภ์ ในกรณีที่ใส่บอลลูนแล้วเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นแพทย์จะนำบอลลูนออกทันที
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของหลอดอาการและกระเพาะอาหาร เช่น แผลเป็นในกระเพาะ กรดไหลย้อนรุนแรง
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือกินยาละลายลิ่มเลือด และผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง

เคยไหม? ที่คุณเคยลดน้ำหนักหลากหลายวิธีโดยไม่ได้ผล ทั้งอดอาหาร กินยาลดความอ้วน ออกกำลังกาย แต่ก็ไม่สามารถลดน้ำหนัก หรือเกิดโยโย่กลับมาอ้วนอีก น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้คุณขาดความมั่นใจ มีผลกระทบต่องาน หรือชีวิตประจำวันของคุณ การลดความอ้วนด้วยบอลลูนจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีรูปร่างอ้วน อยากลดน้ำหนักโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัดและได้ผลจริง

ข้อดีของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก

  • สามารถลดน้ำหนักได้ผลจริง ปลอดภัย
  • ไม่มีผลข้างเคียง ไม่โยโย่
  • เป็นวิธีการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่เกิดแผล และไม่เจ็บ
  • ลดภาวะเสี่ยงจากโรคเรื้อรังที่เกิดจากความอ้วน ทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ข้อเข่าเสื่อม และอื่นๆ

ข้อเสียของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก

ข้อเสียที่เกิดขึ้นโดยอาจเกิดแผล และภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งพบได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ใส่บอลลูนจึงต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปตลอดระยะเวลาที่ใส่บอลลูน

เจาะลึกแนวทางการอยู่กับ Slim ball อย่างไรให้ได้ผล

การดูแลร่างกายหลังจากใส่ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูน

เนื่องจากการทำ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูนเป็นการลดน้ำหนักโดยการใส่วัสดุลงไปในกระเพาะอาหาร ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึงการรับประทานอาหารเพื่อส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารเป็นหลักสำคัญ ในช่วงแรกของการทำ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูน จึงต้องได้รับการดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ

ซึ่งมีข้อปฏิบัติในการดูแลร่างกาย ดังต่อไปนี้

  • ในช่วง 1-2 วันแรกของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก เป็นช่วงที่กระเพาะกำลังปรับสภาพเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับบอลลูน สิ่งสำคัญอันดับแรกในการรับประทานคือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และควรเป็นของเหลวที่ย่อยง่ายเพื่อให้ร่างกายปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น ซุป นม น้ำผักสกัด กาแฟ เป็นต้น
  • หลังจากใส่ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูนในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหาร ที่ย่อยได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ไข่ตุ๋น โจ๊ก ข้าวต้ม เป็นต้น
  • เมื่อร่างกายคุ้นชินกับการรับอาหารในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับพื้นที่ในกระเพาะที่ลดลงแล้วควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการและควรมีโปรตีนในทุกมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว
  • ควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวันเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ลดปัญหาท้องผูก
  • หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันสูง น้ำตาลสูง อย่างเช่น ขนมหวานและเบเกอรี่ เป็นต้น
  • ในช่วงแรกควรออกกำลังกายเบาๆ ไม่ควรออกกำลังกายเน้นการกระแทกร่างกาย เช่นการแกว่งแขน หรือการเดินช้า ๆ ลักษณะคล้ายการเดินเล่น สามารถออกได้ในช่วงเดือนแรก
  • 1 เดือนขึ้นไป สามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

นวัตกรรมทางการแพทย์ในการลดน้ำหนักด้วยการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารวิธีที่ 2 คือ การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball)

การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาด้านภาวะน้ำหนักเกินรับประทานอาหารได้น้อยลง รู้สึกอิ่มไวขึ้น โดยข้อดีของการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร จะช่วยในการรักษาคนไข้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานให้มีน้ำหนักที่ลดลงจากปริมาณน้ำหนักเดิม

ลดน้ำหนักโดยการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball) เหมาะกับใคร

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพภาวะน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานที่มีน้ำหนักค่า BMI เกิน 27 หรือเกินมาตรฐานจากปริมาณน้ำหนักตัว และยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนภายในร่างกาย เช่น ผู้ที่นอนกรน ผู้ที่มีอาการปวดเข่าและโรคเบาหวาน

การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball) ไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการใส่บอลลูนลดน้ำหนักด้วยวิธีที่สะดวกมากขึ้น มีเวลาสะดวกแค่วันเดียว ไม่ต้องการเตรียมตัวล่วงหน้ามาก ไม่ต้องการนอนโรงพยาบาล ไม่ต้องการส่องกล้อง
  • สตรีมีครรภ์ หรือมีแพลนวางแผนที่จะมีบุตร
  • ผู้ที่มีความผิดปกติในหลอดอาหาร เช่น ร่างกายได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับหลอดอาหาร ทำให้หลอดอาหารรั่ว และตีบตัน
  • ผู้ที่มีความผิดปกติในกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร และมีภาวะเสี่ยงในการเป็นกรดไหลย้อนอย่างรุนแรงในร่างกาย
  • ผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ผู้ที่เลือดแข็งตัวยาก ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย ผู้ที่แพ้ยางซิลิโคน และผู้ที่ติดเชื้อในช่องท้อง
  • ผู้ที่น้ำหนักค่า BMI ต่ำกว่า 27

ข้อดีของการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball)

  • ช่วยให้ปริมาณน้ำหนักตัวลง ในระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
  • ลดความเสี่ยงจากปัญหาด้านโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันสูง โรคข้อกระดูกเสื่อม เป็นต้น
  • น้ำหนักที่ลดลงทำให้รูปร่างสมส่วน และสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น

ขั้นตอนการกลืนบอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)

  • ขั้นตอนแรกแพทย์จะให้คนไข้เริ่มทำการกลืนแคปซูลบอลลูนที่มีขนาดเล็กเข้าไปในกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นแพทย์จะเอ็กซเรย์ดูบอลลูนที่กลืนเข้าไปในกระเพาะได้ถูกจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว
  • เมื่อบอลลูนถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แพทย์จะเติมสารน้ำเกลือเข้าไปในตัวบอลลูนผ่านสายสวน ประมาณ 500 CC ทำให้บอลลูนขยายตัวในกระเพาะ (ในขั้นตอนนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 15 นาที)
  • หลังจากเติมสารน้ำเกลือเข้าไปในบอลลูนกระเพาะ แพทย์จะทำการเอ็กซเรย์ครั้งที่ 2 เพื่อความแน่ชัดว่าเติมสารน้ำเกลือเข้าไปในกระเพาะอย่างถูกต้อง

แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวหลังจากการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหาร อาทิเช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อคอยสังเกตอาการเบื้องต้นหลังจากการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหาร และช่องทางการติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อคอยให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง

คนไข้จำเป็นที่จะต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น Allurion เชื่อมต่อกับเครื่องชั่งน้ำหนัก และ Smart Watch เพื่อติดตามการบันทึกข้อมูลน้ำหนัก และการออกกำลังกายเบื้องต้นในชีวิตประจำวัน เพื่อสะดวก และง่ายต่อการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม

เมื่อผ่านกระบวนการขั้นตอนในการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหารเรียบร้อยแล้ว คนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันที

การกลืนบอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) ต่างจากบอลลูนรุ่นอื่นยังไง?

  • กลืนบอลลูนได้ง่ายกว่าแบบเดิมและใช้เวลาทำสั้น ไม่เกิน 30 นาที โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ต้องส่องกล้อง ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เพียงใส่แคปซูลเข้าไปในปากแล้วดื่มน้ำ
  • มีความปลอดภัยที่มากขึ้น เนื่องจากในขณะกลืนบอลลูนแพทย์จะมีการ X-Ray เพื่อจัดตำแหน่งของ บอลลูนให้เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละบุคคล
  • กลืนรอบเดียวจบอยู่ได้นานถึง 120 วัน ไม่ต้องกลับมาเติมน้ำในบอลลูนให้เสียเวลา ต่างจากการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารแบบสมัยก่อนที่ต้องกลับมาเติมน้ำในบอลลูนทุก 3 เดือน
  • ไม่ต้องกลับมาถอดบอลลูนออก ร่างกายสามารถขับบอลลูนออกได้ผ่านระบบการขับถ่าย
  • ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกาและไทย

แพทย์ Slim คลินิก

นพ. ธนชัย ปัญจชัยพรพล
สาขา: อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ

 

เลือกลดความอ้วนด้วยบอลลูน หรือ ผ่าตัดกระเพาะอาหารดี

การใส่ Gastric Balloon กับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ควรเลือกวิธีใดในการช่วยลดน้ำหนัก?

ในผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆมาแล้ว การใช้นวัตกรรมการลดน้ำหนักเป็นตัวช่วยดูจะเป็นทางเลือกที่ดี คำถามคือว่า ระหว่างการลดน้ำหนักด้วยวิธีใส่ Gastric Balloon กับ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Gastric sleeve surgery) ควรใช้วิธีใด?

ประเด็นแรก การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารควรเลือกเป็น “วิธีสุดท้าย”

เพราะการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร จะตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 70-80% อย่างถาวร สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังผ่าตัดคือ การกินอาหาร น้ำ ต่อครั้งได้ในปริมาณที่ลดลงกว่าเดิมอย่างมาก และต้องกินวิตามินเสริมตลอดชีวิต เพราะกระเพาะอาหารที่ถูกตัดออกไปนั้น จะทำให้ปริมาณการสร้างกรดในกระเพาะอาหารลดลง

การที่กรดในกระเพาะอาหารสร้างน้อยลง จะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอาหารเช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน B12 วิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้รับการผ่าตัดต้องกินแร่ธาตุเหล่านี้เสริมมากกว่าคนทั่วไป

ประเด็นที่สอง การตัดลดขนาดกระเพาะอาหารมีข้อบ่งชี้ 2 ประการคือ

สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนคือ มีดัชนีมวลกายมากกว่า 32.5 kg/m2 (BMI > 32.5 kg/m2)

หรือ ผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่ มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 32.5 kg/m2 แต่มีโรคร่วม เช่น โรค Sleep apnea เป็นต้น

* โรคอ้วนคือผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2

ดังนั้นผู้มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนที่ไม่เข้าเกณฑ์การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะตามข้างต้น จึงควรเลือกใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วย Gastric Balloon ก่อนจะเหมาะสมกว่า

บริการลดน้ำหนักและรูปร่าง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถปรึกษาได้ทุกวัน 8:00-18:00 น.
โทร. 091-770-6640 หรือ 02-115-2111 ต่อ 1189

 

Slim G-SLEEVE (gastric Sleeve Surgery) ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ

การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบ Gastric Sleeve คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง หรือลดการดูดซึมของกระเพาะอาหาร สามารถเรียกได้ว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน เพราะว่าในกระเพาะอาหารของเรามีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความอยากอาหาร เมื่อเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลงก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนชนิดนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้ลดลง ก็จะส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงไป

การผ่าตัดลดน้ำหนักนี้จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลงมากในช่วงแรก แต่จะไม่ทรมาน เพราะฮอร์โมนและความอยากอาหารก็ลดลงตามไปด้วย

หลายคนกลัวเอามีดผ่าเปิดท้องเป็นแนวยาว และ กังวลเรื่องแผลเป็นหลังการผ่าตัดความจริง ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน การผ่าตัดกระเพาะจะมีแผลที่ผิวเท่ารูเข็ม รอยแผลแค่เจาะรู ไม่เจ็บมาก ใช้เวลาไม่นานรอยแผลจะหายไป ปลอดภัย และ ฟื้นตัวไว

ใครสามารถทำการผ่าตัดลดน้ำหนักได้บ้าง ?

  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
  • มีภาวะอ้วน หรือมีดัชนีมวลกายสูงกว่า 32.5 กก./ตร.ม. ขึ้นไป
  • ผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาแล้วแต่ไม่ได้ผล
  • เป็นผู้ที่ไม่ได้มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้หลังผ่าตัด เช่น เป็นโรคทางจิตเวช

วิตามิน 4 ชนิด ที่ควรตรวจหลังผ่าตัดกระเพาะอาหาร เพื่อการลดน้ำหนัก

การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร หรือ Gastric Sleeve เป็นการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักที่มีผลให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมสารอาหารจำเป็นหลายชนิด ดังนั้น การตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุจึงเป็นสิ่งสำคัญหลังจากการผ่าตัดประเภทนี้ โดยเฉพาะหลังจากการผ่าตัด 6 เดือน เนื่องจากการขาดสารอาหารเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ต่อไปนี้คือประโยชน์ของการตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญหลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร

วิตามิน 4 ชนิด ที่ควรตรวจมีดังนี้

  1. ตรวจโฟเลท (Folate): โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดและช่วยในการสร้าง DNA และ RNA การขาดโฟเลตอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง เฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ได้รับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการพัฒนาภาวะนี้เนื่องจากการดูดซึมที่ลดลง
  2. ตรวจวิตามินบี 12 (B12): การดูดซึมวิตามินบี 12 มักจะลดลงอย่างมากหลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารเนื่องจากการลดลงของกรดในกระเพาะอาหารที่จำเป็นในการดูดซึมวิตามินนี้ วิตามินบี 12 มีบทบาทในการผลิตเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท การขาดวิตามินนี้สามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางประเภทเฉพาะและปัญหาสุขภาพจิต
  3. ตรวจวิตามินดี (D): วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส การขาดวิตามินดีมีความเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกอ่อนและกระดูกพรุน ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยมักจะพบกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการขาดวิตามินดี เนื่องจากการลดขนาดของกระเพาะอาหารทำให้ส่วนที่สำคัญในกระบวนการดูดซึมสารอาหารนี้ลดลง การตรวจวัดระดับวิตามินดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันและรักษาภาวะขาดวิตามินดีได้อย่างทันท่วงที
  4. ตรวจแคลเซียม (Ca+): แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับการมีกระดูกที่แข็งแรงและการทำงานปกติของกล้ามเนื้อและการส่งสัญญาณประสาท หลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร การดูดซึมแคลเซียมอาจลดลง เนื่องจากการลดการดูดซึมวิตามินดีซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียม การตรวจระดับแคลเซียมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนและภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้

การตรวจวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้หลังจากผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและการดูดซึมสารอาหารที่แปรผันได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะขาดสารอาหารร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบเหล่านี้ควรทำเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยอาจรวมถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเสริมสารอาหารและการปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อช่วยให้ระดับวิตามินและแร่ธาตุอยู่ในเกณฑ์ปกติและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ปรึกษาได้ทุกวัน 8:00 – 18:00 น.
โทร. 091-770-6640 หรือ 02-115-2111 ต่อ 1189

Slim clinic คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง