Slim clinic คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง
Slim clinic คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง หนึ่งในศูนย์ดูแลสุขภาพและความงาม ภายใน Ch9wellness center เราไม่ใช่แค่คลินิกลดน้ำหนักทั่วไป แต่พร้อมให้บริการดูแลด้านรูปร่างและการลดน้ำหนักที่ครอบคลุมทุกความต้องการของการดูแลรูปร่าง ตั้งแต่การกระชับรูปร่างให้สมส่วนในผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาน้ำหนักเกินเกณฑ์ แต่ต้องการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ไปจนถึง ผู้มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น (BMI 23-24.9) ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคอ้วนระดับ3 (BMI 30 ขึ้นไป) ที่ต้องรับการรักษาเพื่อสุขภาพที่ดีด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ผ่านการรับรองความปลอดภัย และมาตรฐานสากล นอกจากนี้เรายังพร้อมดูแลต่อเนื่องหลังจากการลดน้ำหนัก เช่น หนังย้วย หรือตกแต่งหน้าท้องให้สวยงาม พร้อมอวดหุ่นสวยได้ทุกมุมมอง ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทางไม่ว่าจะเป็น อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับ ศัลยแพทย์ผ่าตัดแผลเล็กผ่านกล้อง ศัลยแพทย์ตกแต่ง ควบคุมมาตรฐานภายใต้โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
บริการหลักของคลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง
- โปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Slim P)
- โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูน (Slim G-Ball)
- โปรแกรมกลืนบอลลูนเพื่อลดน้ำหนัก (Quick Slim Ball)
- ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Gastric Sleeve Surgery)
- กระชับผิว ลดเซลลูไลท์ด้วย RF Body Firming
- ตกแต่งไขมันหน้าท้อง
- สลายไขมันด้วย Vaser
- การดูดไขมันแบบเซ็กซี่ไลน์ (Sexy line) และ สร้างซิกแพค
การลดน้ำหนักด้วยหัวใจสำคัญ คือ การควบคุมการทานอาหาร ทานอาหารแค่ให้เพียงพอ และทานอาหารให้น้อยลงเมื่อต้องการลดน้ำหนัก ถ้าคำนวณให้ละเอียดก็คือ การทานอาหารทั้งวันรวมกันแล้วได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน ก็จะทำให้น้ำหนักลดลง แต่ปัญหาที่พบคือ เราทานอาหารเกินความจำเป็น และใช้พลังงานในแต่ละวันน้อยลง หรือไม่สอดคล้องกับพลังงานที่มีหรือสะสมไว้ ทั้งสาเหตุจากพฤติกรรมการกิน สภาพแวดล้อม การเข้าสังคมรวมไปถึงความอยากอาหาร และเมื่อเราต้องการลดน้ำหนักส่วนเกิน หรือเริ่มดูแลรูปร่าง โดยการควบคุมอาหาร อุปสรรคสำคัญก็คือ “ความหิว” ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรากินอาหารในปริมาณลดลงจากปริมาณที่เราเคยรับประทาน เมื่อทนความหิวไม่ได้ เราก็กลับเข้าสู่พฤติกรรมการกินที่คุ้นชินเช่นเดิม ทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว
หลักทางการแพทย์ได้ทำการศึกษา ความอยากอาหาร หรือความหิว เพื่อดูแลสุขภาพให้คนพ้นจากโรคอ้วน ซึ่งจะนำไปสู่โรคต่างๆ ตามมามากมาย นอกจากเรื่องภาพลักษณ์ความสวยงาม จนเกิดเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คลินิกลดน้ำหนักและปรับรูปร่าง จัดหามาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาด้านน้ำหนักของทุกคน
1. SLIM P โปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
SLIM Pause ตอบโจทย์ความยากลำบากในการควบคุมอาหาร โดยช่วยให้
- รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นหลังกินอาหารในปริมาณที่ลดลง
- ลดความอยากการกินอาหารจุบจิบระหว่างวัน
- ลดความทุกข์ทรมานจากความหิว แม้ว่าจะกินอาหารลดลงกว่าปกติ
ทำให้พลังงานจากอาหารที่ได้ต่อวันลดลง ต่ำกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ส่งผลให้ร่างกายต้องดึงพลังงานสะสมในรูปไขมันตามร่างกายมาใช้ ทำให้รูปร่างดีขึ้น น้ำหนักลดลง
บริการ SLIM Pause ควบคุมอาหาร หรือควบคุมความหิว เป็นการให้ยาที่เลียนแบบฮอร์โมน GLP1 ที่มีในร่างกาย ช่วยให้เราไม่ให้รู้สึกหิว โดยการฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง เพียงวันละ 1 ครั้ง ในปริมาณยาที่กำหนดตามแต่ละรอบสัปดาห์
ขนาดและวิธีใช้ยาควรใช้ยาตามคำสั่งของแพทย์ รวมถึงได้รับคำแนะนำจากเภสัชกร และสอนวิธีใช้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพเท่านั้น
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยเป็นอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและเกิดขึ้นชั่วคราว อาการข้างเคียงมักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกที่ได้รับยา และส่วนใหญ่อาการจะหายไปภายใน 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ เมื่อได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไม่ควรปรับขนาดยาเองเพื่อลดอาการข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
ข้อควรระวังของการใช้โปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรง โรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้ที่รุนแรงซึ่งทำให้กระเพาะอาหารต้องใช้เวลานานขึ้นในการบีบตัวเพื่อส่งอาหารไปที่ลำไส้เล็ก โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัย และยังไม่มีการศึกษาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้หากท่านมีภาวะโรคตับอ่อนอักเสบ โรคถุงน้ำดีอักเสบและนิ่วในถุงน้ำดี โรคไทรอยด์ มีอาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติในขณะพัก สูญเสียน้ำมากผิดปกติหรือขาดน้ำ เป็นโรคไตหรือกำลังฟอกไต เป็นโรคตับ
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพราะอาจต้องปรับขนาดยารักษาโรคเบาหวาน และห้ามใช้ยานี้แทนการใช้ยาฉีดอินซูลิน
- การใช้ยานี้ร่วมกับยาบางชนิดอาจมีผลต่อการรักษาหรือเกิดอันตราย ให้แจ้งแพทย์หากท่านใช้ยาอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ยารักษาโรคเบาหวาน (เช่น ยาไกลเมพิไรด์ ไกลเบนคลาไมด์ เอ็กเซนาไทด์ ลิซิเซนาไทด์ อินซูลิน) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น ยาวอร์ฟาริน)
- ถ้าท่านปรับขนาดยาของอินซูลิน แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยขึ้นกว่าเดิม
- เมื่อท่านเริ่มใช้ยา Saxenda สำคัญมากที่ต้องดื่มน้ำมากๆเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป หากมีคำถามหรือข้อกังวลให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- ห้ามใช้ยานี้หากตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลผลของยานี้ต่อทารกในครรภ์
- อย่าให้นมบุตรในระหว่างใช้ยานี้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลว่ายานี้ผ่านน้ำนมไปสู่ทารกได้หรือไม่
การจัดเก็บยาฉีดควบคุมความหิวต้องควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม เช่น ในตู้เย็นอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศาเซลเซียส ยาฉีดหลังเปิดใช้ครั้งแรกแล้วให้เก็บที่อุณหภูมิห้อง มีอายุอยู่ได้ 1 เดือน ห้ามแช่ยาฉีดในห้องแช่แข็ง ควรสวมปลอกยาทุกครั้งเมื่อไม่ได้ใช้งาน ให้ใช้ยาฉีดแต่ละครั้งสำหรับผู้ป่วยรายเดียวเท่านั้น ไม่ควรใช้ร่วมกันถึงแม้จะเปลี่ยนหัวเข็มก็ตาม
2. การลดน้ำหนักด้วยการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
การลดความอ้วนด้วยบอลลูน หรือ การลดน้ำหนักด้วยการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร อยู่ในหลักการที่ว่า เราจะรู้สึกอิ่มหรือไม่อยากอาหาร เมื่อกระเพาะอาหารของเรามีอาหารอยู่เต็มพื้นที่ที่กระเพาะอาหารเรารับได้แล้ว เราก็จะรู้สึกอิ่ม ไม่หิวหรืออยากอาหาร ถ้าคงสภาพนี้ได้นานๆ ก็จะมีพฤติกรรมการทานอาหารน้อยลงจนเป็นนิสัย ไม่กินจุกจิก และถ้ายิ่งเราลดพื้นที่ในกระเพาะอาหารให้รองรับอาหารที่ทานเข้าไปได้น้อยลงด้วย ปริมาณอาหารที่ทานแล้วรู้สึกอิ่มน้อยลง ได้รับพลังงานน้อยลง ร่างกายก็จะนำพลังงานที่สะสมมาใช้แทนด้วย จึงช่วยลดน้ำหนักลงได้ พร้อมกับการปรับพฤติกรรมในระยะยาวได้
การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร เพื่อลดน้ำหนักเป็นการลดพื้นที่ในกระเพาะอาหารโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัดโดยมีกระบวนการหลักๆ คือ
- ใส่บอลูนในอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ขยายบอลลูนในขนาดที่เหมาะสม
- นำบอลลูนออกในเวลาที่เหมาะสม
นวัตกรรมทางการแพทย์ปัจจุบันมี 2 วิธี แตกต่างกันที่ วิธีใส่ การขยายขนาด และการนำออก ดังนี้
โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball)
- เป็นการใส่และดูตำแหน่งของบอลลูนในกระเพาะอาหาร ด้วยวิธีการส่องกล้องผ่านทางช่องปาก เหมือนส่องกล้องกระเพาะอาหารทั่วไป เมื่อบอลลูนอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ
- ขยายบอลลูน โดยใส่น้ำที่ผสมกับสารสีฟ้าที่เรียกว่าเมธิลีนบลูเข้าไปในบอลลูนประมาณ 400-500 ซีซี ปรับตามขนาดของกระเพาะอาหาร และดุลพินิจของแพทย์ แล้วจึงนำกล้องออก โดยบอลลูนสามารถปรับขนาดเพิ่มหรือลดได้ตามความต้องการในภายหลัง
- การนำบอลลูนออก บอลลูนชนิดที่ใส่ในกระเพาะด้วยวิธีส่องกล้องนั้นสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารได้นานสูงสุด 1 ปี แต่หากพอใจในน้ำหนักที่ลดลงก็สามารถเอาบอลลูนออกก่อน 1 ปีได้ โดยการส่องกล้อง และปล่อยน้ำในลูกบอลลูนออก และเพื่อนำลูกบอลลูนออกจากร่างกาย
โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball) จึงเหมาะสมกับ
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินค่า BMI ตั้งแต่ 27ขึ้นไป
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ไม่ต้องการทานยา หรือผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักในระยะยาวด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน
ข้อดีของการลดน้ำหนัก ด้วยบอลลูน สามารถลดน้ำหนักได้ผลจริง ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง ไม่โยโย่
เป็นวิธีการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่เกิดแผล และไม่เจ็บ
ลดภาวะเสี่ยงจากโรคเรื้อรังที่เกิดจากความอ้วน ทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ข้อเข่าเสื่อม และอื่นๆ
โอกาสเกิดผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักด้วยวิธีใส่บอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball)
- อาจเกิดแผล และภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งพบได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ใส่บอลลูนจึงต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปตลอดระยะเวลาที่ใส่บอลลูน
- บอลลูนรั่วจากการทานอาหารที่มีความแข็งไปกระทบบอลลูนในกระเพาะ เช่น กระดูกอ่อน หรือของร้อนทั้งนี้จะมคำแนะนำด้านโภชนาการให้กับผู้ใส่บอลลูนเลือกทานให้เหมาะสม
ผลลัพธ์ที่ได้จากส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)
จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน หรืออาจจะอิ่มตลอดเวลา ทำให้ทานได้น้อย น้ำหนักลดได้จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นกับพฤติกรรมการทานอาหารในระหว่างที่ใส่บอลลูน และการใช้พลังงานหรือออกกำลังกายด้วย จากประสบการณ์ที่ทำมากว่า 5 ปี มีผู้ที่มีน้ำหนักสูง150กิโลกรัม ใส่บอลลูนด้วยวิธีนี้แล้วสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 77 กิโลกรัมภายใน 1ปี
ดูรีวิวได้ที่ https://youtu.be/AmzX_SG0A1A
การเตรียมตัวส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)
- รับประทานยารักษาแผลในกระเพาะอาหารก่อนอาหารเช้าและเย็นเป็นเวลา 14 วัน
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ตรวจสุขภาพ (ตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอก คลื่นไฟฟ้าหัวใจ)
- ส่องตรวจดูกระเพาะอาหารเพื่อดูความพร้อมของกระเพาะอาหาร ในวันที่มาใส่บอลลูน หากพบว่ามีบาดแผลหรือเนื้องอก ต้องเลื่อนการใส่ไปก่อน
- ต้องงดรับประทานอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ของหมักดองทุกชนิดก่อนใส่บอลลูน งดน้ำเปล่าอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนทำการใส่บอลลูน
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ผู้ที่เข้ารับการใส่บอลลูนต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อม โดยแพทย์จะตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจเลือดเบื้องต้น ส่องกล้องเพื่อดูความพร้อมของหลอดอาการและกระเพาะอาหาร
- รับประทานยาลดกรด Miracid ก่อนอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 14 วัน
- งดสูบบุหรี่
ขั้นตอนการส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)
- มาโรงพยาบาลตามวันนัดหมาย
- ตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
- วิสัญญีแพทย์ให้ยาสลบ
- ใช้เทคนิคการส่องกล้องในกระเพาะอาหารเพื่อนำบอลลูนใส่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ใส่น้ำที่ผสมกับสารสีฟ้าที่เรียกว่าเมธิลีนบลูเข้าไปในบอลลูนประมาณ 400-500 ซีซี
- ปรับหรือเพิ่มลดขนาดของบอลลูนตามความเหมาะสมของกระเพาะอาหาร
หลังจากใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ผู้ที่ใส่บอลลูนต้องพักฟื้นด้วยห้องพักเดี่ยว 2 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อสังเกตอาการและติดตามผลการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสภาพให้เข้ากับบอลลูนในกระเพาะได้เพื่อใช้ชีวิตได้ตามปกติ ลำดับต่อไปจะเป็นการติดตามผลเดือนที่ 1 เดือนที่ 6 และเดือนที่ 12 ตามแพทย์นัด ตลอดจนการนำบอลลูนออกเมื่อครบกำหนด
อาการที่พบหลังส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)
- เมื่อใส่บอลลูนลดน้ำหนักร่างกายจะทำการปรับตัวทำให้มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น
- คลื่นใส้ อาเจียน
- ท้องอืด แน่นท้อง
- ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายเองได้ภายใน 3–7 วัน
ภาวะแทรกซ้อนของการส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)
สำหรับปัญหาภาวะแทรกซ้อนจากการใส่บอลลูนสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักนั้นโดยรวมพบเพียง 0.27% เมื่อเทียบกับการผ่าตัดกระเพาะอาหารลดความอ้วน ที่มีภาวะแทรกซ้อนมากถึง 7-9% ภาวะแทรกซ้อนของการใส่บอลลูนส่วนใหญ่จะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้องช่วงสัปดาห์แรกหลังใส่บอลลูน
ข้อห้ามในการส่องกล้องใส่บอลลูนลดน้ำหนัก (Slim G-Ball)
- สตรีมีครรภ์ หากมีการตั้งครรภ์ในระหว่างการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก ผู้รับบริการจะต้องให้แพ้นำบอลลูนออกทันที
- ผู้ที่แพ้ยางซิลิโคน
- ผู้ที่มีความผิดปกติของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เช่น เป็นแผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อนรุนแรง หรือเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร
- ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวรุนแรงอย่างโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
- ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักด้วยบอลลูน ปลอดภัย ได้ผลจริง แต่ควรทำในโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางและเชี่ยวชาญ พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์ในการใส่บอลลูน ในกระเพาะอาหาร
การดูแลร่างกาย ระหว่างการใส่บอลลูนลดน้ำหนักไว้ในกระเพาะอาหาร
เนื่องจากการใส่บอลลูนลดน้ำหนักเป็นการลดน้ำหนักโดยการใส่วัสดุลงไปในกระเพาะอาหาร ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึงการรับประทานอาหารเพื่อส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารเป็นหลักสำคัญ ในช่วงแรกของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก จึงต้องได้รับการดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ ซึ่งมีข้อปฏิบัติในการดูแลร่างกาย ดังต่อไปนี้
- ในช่วง 1-2 วันแรกของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก เป็นช่วงที่กระเพาะกำลังปรับสภาพเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับบอลลูน สิ่งสำคัญอันดับแรกในการรับประทานคือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และควรเป็นของเหลวที่ย่อยง่ายเพื่อให้ร่างกายปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น ซุป นม น้ำผักสกัด กาแฟ เป็นต้น
- หลังจากใส่บอลลูนลดน้ำหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหาร ที่ย่อยได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ไข่ตุ๋น โจ๊ก ข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อร่างกายคุ้นชินกับการรับอาหาร ในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับพื้นที่ในกระเพาะที่ลดลงแล้วควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการและควรมีโปรตีนในทุกมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว
- ควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ลดปัญหาท้องผูก
- หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันสูง หรือน้ำตาลสูง อย่างเช่น ขนมหวานและเบเกอรี่ เครื่องดื่มที่มีรสหวาน เป็นต้น
- ระมัดระวังในการรับประทานอาหารที่มีส่วนแหลมคม เช่น ปลาที่มีก้าง
- ในช่วงแรกควรออกกำลังกายเบาๆ ไม่ควรออกกำลังกายเน้นการกระแทกร่างกาย เช่นการแกว่งแขน หรือการเดินช้า ๆ ลักษณะคล้ายการเดินเล่น สามารถออกได้ในช่วงเดือนแรก
- 1 เดือนขึ้นไป สามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
วิธีการดูแลน้ำหนักให้คงที่ หลังนำบอลลูนลดน้ำหนักออก
เมื่อการใส่บอลลูนลดน้ำหนักสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยถึง 24 กิโลกรัม ต่อ 1 ปี ขึ้นอยู่กับวินัยและการรับประทานอาหารของผู้ใส่บอลลูน เมื่อครบกำหนดหรือถึงน้ำหนักที่พอใจผู้รับบริการสามารถถอดบอลลูนออกได้ตามต้องการ ซึ่งการถอดบอลลูนหลายคนอาจจะกลัวน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกหรือกลับมาอ้วนใหม่ในที่สุด ดังนั้นข้อปฏิบัติหลังถอดบอลลูนลดน้ำหนักจึงสำคัญ โดยมีข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ควบคุมการรับประทานอาหาร เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ การลดน้ำหนักด้วยบอลลูน ควรรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมือนกับตอนที่มีบอลลูนอยู่ในกระเพาะ เมื่อถอดบอลลูนออกกระเพาะอาหารจะมีขนาดเท่าตอนที่ใส่บอลลูนอยู่ไม่สามารถขยายเพิ่มได้ ถ้ารับประทานอาหารเท่าเดิมจะช่วยให้รักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาว
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้น้ำหนักคงที่อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับสุขภาพที่แข็งแรง นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมันแล้วยังช่วยเรื่องการผ่อนคลายความเครียดส่งผลที่ดีต่อสุขภาพจิตใจอีกด้วย
- ผ่อนคลายความเครียด ไม่ให้เกิดความรู้สึกกดดัน หรือเครียดจนเกินไป หลากหลายวิธีง่ายๆ ที่สามารถผ่อนคลายความเครียดได้ดี คือ การออกกำลังกาย ดูหนังที่ชอบ ฟังเพลงเพราะๆ ทำงานอดิเรกที่เราสนใจ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หลังนำบอลลูนลดน้ำหนักออก
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารประเภทที่ใช้น้ำมันเป็นจำนวนมากในการประกอบอาหาร เช่น ของทอด อาหารติดมัน อาหารผัดโดยใช้น้ำมัน
- การรับประทานของหวาน การรับประทานไอศกรีม เค้ก หรือแม้แต่ ชานมไข่มุก ก็เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะมีส่วนผสมของน้ำตาลทรายสูง
- การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา การรับประทานอาหารนอกมื้อสำคัญ จะทำให้วินัยการกินผิดไปและระบบการเผาผลาญของร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมด เกิดเป็นการสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย
- มีความเครียดสะสม ควรหลีกเลี่ยงความเครียดสะสมเพราะภาวะความเครียด จะทำให้เกิดฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ไปกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเข้าใจว่า ความเครียด จำเป็นต้องใช้พลังงานเยอะ ส่งผลทำให้ เกิดการกินที่มากขึ้น และทำให้กลับมาอ้วนได้ในที่สุด
ราคาสำหรับ โปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอลลูนด้วยการส่องกล้อง (Slim G-Ball)
ราคาเริ่มต้น 149,000 บาท ค่าบริการนี้รวมรายการดังนี้
- การพบแพทย์ ให้ข้อมูลการทำหัตถการและให้ยา Lab X-ray เตรียมตัวก่อนทำหัตถการ
- การส่องกล้องกระเพาะอาหารและใส่บอลลูน
- นอนพักในโรงพยาบาลห้องเดี่ยว 2 คืน
- การนัดติดตามผลเดือนที่ 1 เดือนที่ 6 และ เดือนที่ 12
- การนำบอลลูนออก เมื่อครบกำหนด
- ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ด้วยการส่องกล้อง
- ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร Gastric Balloon ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด
ข้อควรรู้ก่อนใส่บอลลูนลดน้ำหนัก Slim ball
การใส่ Slim ball กับ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ควรเลือกวิธีใดในการช่วยลดน้ำหนัก
ในผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆมาแล้ว การใช้นวัตกรรมการลดน้ำหนักเป็นตัวช่วยดูจะเป็นทางเลือกที่ดี คำถามคือว่า ระหว่างการลดน้ำหนักด้วยวิธีใส่ Gastric Balloon กับ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Gastric sleeve surgery) ควรใช้วิธีใด
ประเด็นแรก
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารควรเลือกเป็น “วิธีสุดท้าย” เพราะการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร จะตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 70-80% อย่างถาวร สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังผ่าตัดคือ การกินอาหาร น้ำ ต่อครั้งได้ในปริมาณที่ลดลงกว่าเดิมอย่างมาก และต้องกินวิตามินเสริมตลอดชีวิต เพราะกระเพาะอาหารที่ถูกตัดออกไปนั้น จะทำให้ปริมาณการสร้างกรดในกระเพาะอาหารลดลง
การที่กรดในกระเพาะอาหารสร้างน้อยลง จะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอาหารเช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน B12 วิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้รับการผ่าตัดต้องกินแร่ธาตุเหล่านี้เสริมมากกว่าคนทั่วไป
ประเด็นที่สอง
การตัดลดขนาดกระเพาะอาหารมีข้อบ่งชี้ 2 ประการคือ
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนคือ มีดัชนีมวลกายมากกว่า 32.5 kg/m2 (BMI > 32.5 kg/m2)
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่ มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 32.5 kg/m2 แต่มีโรคร่วม เช่น โรค Sleep apnea เป็นต้น
โรคอ้วนคือผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2
ดังนั้นผู้มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนที่ไม่เข้าเกณฑ์การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะตามข้างต้น จึงควรเลือกใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วย Gastric Balloon ก่อนจะเหมาะสมกว่า
ใส่บอลลูนลดน้ำหนักในกระเพาะอาหารเหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ทานยาลดน้ำหนัก
- ผู้ที่ต้องการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินค่า BMI เกิน 30
- การทำบอลลูนในกระเพาะอาหาร ไม่เหมาะกับใคร
- สตรีมีครรภ์ ในกรณีที่ใส่บอลลูนแล้วเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นแพทย์จะนำบอลลูนออกทันที
- ผู้ที่มีความผิดปกติของหลอดอาการและกระเพาะอาหาร เช่น แผลเป็นในกระเพาะ กรดไหลย้อนรุนแรง
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือกินยาละลายลิ่มเลือด และผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง
เคยไหม? ที่คุณเคยลดน้ำหนักหลากหลายวิธีโดยไม่ได้ผล ทั้งอดอาหาร กินยาลดความอ้วน ออกกำลังกาย แต่ก็ไม่สามารถลดน้ำหนัก หรือเกิดโยโย่กลับมาอ้วนอีก น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้คุณขาดความมั่นใจ มีผลกระทบต่องาน หรือชีวิตประจำวันของคุณ การลดความอ้วนด้วยบอลลูนจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีรูปร่างอ้วน อยากลดน้ำหนักโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัดและได้ผลจริง
ข้อดีของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก
- สามารถลดน้ำหนักได้ผลจริง ปลอดภัย
- ไม่มีผลข้างเคียง ไม่โยโย่
- เป็นวิธีการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไม่เกิดแผล และไม่เจ็บ
- ลดภาวะเสี่ยงจากโรคเรื้อรังที่เกิดจากความอ้วน ทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ข้อเข่าเสื่อม และอื่นๆ
ข้อเสียของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก
ข้อเสียที่เกิดขึ้นโดยอาจเกิดแผล และภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งพบได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ใส่บอลลูนจึงต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารควบคู่ไปตลอดระยะเวลาที่ใส่บอลลูน
เจาะลึกแนวทางการอยู่กับ Slim ball อย่างไรให้ได้ผล
การดูแลร่างกายหลังจากใส่ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูน
เนื่องจากการทำ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูนเป็นการลดน้ำหนักโดยการใส่วัสดุลงไปในกระเพาะอาหาร ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึงการรับประทานอาหารเพื่อส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารเป็นหลักสำคัญ ในช่วงแรกของการทำ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูน จึงต้องได้รับการดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ
ซึ่งมีข้อปฏิบัติในการดูแลร่างกาย ดังต่อไปนี้
- ในช่วง 1-2 วันแรกของการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก เป็นช่วงที่กระเพาะกำลังปรับสภาพเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับบอลลูน สิ่งสำคัญอันดับแรกในการรับประทานคือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และควรเป็นของเหลวที่ย่อยง่ายเพื่อให้ร่างกายปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น ซุป นม น้ำผักสกัด กาแฟ เป็นต้น
- หลังจากใส่ Slim ball ลดน้ำหนักด้วยบอลลูนในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหาร ที่ย่อยได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ไข่ตุ๋น โจ๊ก ข้าวต้ม เป็นต้น
- เมื่อร่างกายคุ้นชินกับการรับอาหารในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับพื้นที่ในกระเพาะที่ลดลงแล้วควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการและควรมีโปรตีนในทุกมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว
- ควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวันเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ลดปัญหาท้องผูก
- หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันสูง น้ำตาลสูง อย่างเช่น ขนมหวานและเบเกอรี่ เป็นต้น
- ในช่วงแรกควรออกกำลังกายเบาๆ ไม่ควรออกกำลังกายเน้นการกระแทกร่างกาย เช่นการแกว่งแขน หรือการเดินช้า ๆ ลักษณะคล้ายการเดินเล่น สามารถออกได้ในช่วงเดือนแรก
- 1 เดือนขึ้นไป สามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
นวัตกรรมทางการแพทย์ในการลดน้ำหนักด้วยการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารวิธีที่ 2 คือ การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball)
การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาด้านภาวะน้ำหนักเกินรับประทานอาหารได้น้อยลง รู้สึกอิ่มไวขึ้น โดยข้อดีของการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร จะช่วยในการรักษาคนไข้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานให้มีน้ำหนักที่ลดลงจากปริมาณน้ำหนักเดิม
ลดน้ำหนักโดยการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball) เหมาะกับใคร
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพภาวะน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานที่มีน้ำหนักค่า BMI เกิน 27 หรือเกินมาตรฐานจากปริมาณน้ำหนักตัว และยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนภายในร่างกาย เช่น ผู้ที่นอนกรน ผู้ที่มีอาการปวดเข่าและโรคเบาหวาน
การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball) ไม่เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการใส่บอลลูนลดน้ำหนักด้วยวิธีที่สะดวกมากขึ้น มีเวลาสะดวกแค่วันเดียว ไม่ต้องการเตรียมตัวล่วงหน้ามาก ไม่ต้องการนอนโรงพยาบาล ไม่ต้องการส่องกล้อง
- สตรีมีครรภ์ หรือมีแพลนวางแผนที่จะมีบุตร
- ผู้ที่มีความผิดปกติในหลอดอาหาร เช่น ร่างกายได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับหลอดอาหาร ทำให้หลอดอาหารรั่ว และตีบตัน
- ผู้ที่มีความผิดปกติในกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร และมีภาวะเสี่ยงในการเป็นกรดไหลย้อนอย่างรุนแรงในร่างกาย
- ผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ผู้ที่เลือดแข็งตัวยาก ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย ผู้ที่แพ้ยางซิลิโคน และผู้ที่ติดเชื้อในช่องท้อง
- ผู้ที่น้ำหนักค่า BMI ต่ำกว่า 27
ข้อดีของการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Quick Slim Ball)
- ช่วยให้ปริมาณน้ำหนักตัวลง ในระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
- ลดความเสี่ยงจากปัญหาด้านโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันสูง โรคข้อกระดูกเสื่อม เป็นต้น
- น้ำหนักที่ลดลงทำให้รูปร่างสมส่วน และสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น
ขั้นตอนการกลืนบอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)
- ขั้นตอนแรกแพทย์จะให้คนไข้เริ่มทำการกลืนแคปซูลบอลลูนที่มีขนาดเล็กเข้าไปในกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นแพทย์จะเอ็กซเรย์ดูบอลลูนที่กลืนเข้าไปในกระเพาะได้ถูกจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว
- เมื่อบอลลูนถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แพทย์จะเติมสารน้ำเกลือเข้าไปในตัวบอลลูนผ่านสายสวน ประมาณ 500 CC ทำให้บอลลูนขยายตัวในกระเพาะ (ในขั้นตอนนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 15 นาที)
- หลังจากเติมสารน้ำเกลือเข้าไปในบอลลูนกระเพาะ แพทย์จะทำการเอ็กซเรย์ครั้งที่ 2 เพื่อความแน่ชัดว่าเติมสารน้ำเกลือเข้าไปในกระเพาะอย่างถูกต้อง
แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวหลังจากการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหาร อาทิเช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อคอยสังเกตอาการเบื้องต้นหลังจากการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหาร และช่องทางการติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อคอยให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง
คนไข้จำเป็นที่จะต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น Allurion เชื่อมต่อกับเครื่องชั่งน้ำหนัก และ Smart Watch เพื่อติดตามการบันทึกข้อมูลน้ำหนัก และการออกกำลังกายเบื้องต้นในชีวิตประจำวัน เพื่อสะดวก และง่ายต่อการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
เมื่อผ่านกระบวนการขั้นตอนในการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหารเรียบร้อยแล้ว คนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันที
การกลืนบอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) ต่างจากบอลลูนรุ่นอื่นยังไง?
- กลืนบอลลูนได้ง่ายกว่าแบบเดิมและใช้เวลาทำสั้น ไม่เกิน 30 นาที โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ต้องส่องกล้อง ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เพียงใส่แคปซูลเข้าไปในปากแล้วดื่มน้ำ
- มีความปลอดภัยที่มากขึ้น เนื่องจากในขณะกลืนบอลลูนแพทย์จะมีการ X-Ray เพื่อจัดตำแหน่งของ บอลลูนให้เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละบุคคล
- กลืนรอบเดียวจบอยู่ได้นานถึง 120 วัน ไม่ต้องกลับมาเติมน้ำในบอลลูนให้เสียเวลา ต่างจากการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารแบบสมัยก่อนที่ต้องกลับมาเติมน้ำในบอลลูนทุก 3 เดือน
- ไม่ต้องกลับมาถอดบอลลูนออก ร่างกายสามารถขับบอลลูนออกได้ผ่านระบบการขับถ่าย
- ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกาและไทย
แพทย์ Slim คลินิก
นพ. ธนชัย ปัญจชัยพรพล
สาขา: อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
เลือกลดความอ้วนด้วยบอลลูน หรือ ผ่าตัดกระเพาะอาหารดี
การใส่ Gastric Balloon กับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ควรเลือกวิธีใดในการช่วยลดน้ำหนัก?
ในผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆมาแล้ว การใช้นวัตกรรมการลดน้ำหนักเป็นตัวช่วยดูจะเป็นทางเลือกที่ดี คำถามคือว่า ระหว่างการลดน้ำหนักด้วยวิธีใส่ Gastric Balloon กับ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Gastric sleeve surgery) ควรใช้วิธีใด?
ประเด็นแรก การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารควรเลือกเป็น “วิธีสุดท้าย”
เพราะการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร จะตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 70-80% อย่างถาวร สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังผ่าตัดคือ การกินอาหาร น้ำ ต่อครั้งได้ในปริมาณที่ลดลงกว่าเดิมอย่างมาก และต้องกินวิตามินเสริมตลอดชีวิต เพราะกระเพาะอาหารที่ถูกตัดออกไปนั้น จะทำให้ปริมาณการสร้างกรดในกระเพาะอาหารลดลง
การที่กรดในกระเพาะอาหารสร้างน้อยลง จะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอาหารเช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน B12 วิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้รับการผ่าตัดต้องกินแร่ธาตุเหล่านี้เสริมมากกว่าคนทั่วไป
ประเด็นที่สอง การตัดลดขนาดกระเพาะอาหารมีข้อบ่งชี้ 2 ประการคือ
สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนคือ มีดัชนีมวลกายมากกว่า 32.5 kg/m2 (BMI > 32.5 kg/m2)
หรือ ผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่ มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 32.5 kg/m2 แต่มีโรคร่วม เช่น โรค Sleep apnea เป็นต้น
* โรคอ้วนคือผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2
ดังนั้นผู้มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนที่ไม่เข้าเกณฑ์การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะตามข้างต้น จึงควรเลือกใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วย Gastric Balloon ก่อนจะเหมาะสมกว่า
บริการลดน้ำหนักและรูปร่าง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถปรึกษาได้ทุกวัน 8:00-18:00 น.
โทร. 091-770-6640 หรือ 02-115-2111 ต่อ 1189
Slim G-SLEEVE (gastric Sleeve Surgery) ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบ Gastric Sleeve คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง หรือลดการดูดซึมของกระเพาะอาหาร สามารถเรียกได้ว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน เพราะว่าในกระเพาะอาหารของเรามีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความอยากอาหาร เมื่อเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลงก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนชนิดนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้ลดลง ก็จะส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงไป
การผ่าตัดลดน้ำหนักนี้จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลงมากในช่วงแรก แต่จะไม่ทรมาน เพราะฮอร์โมนและความอยากอาหารก็ลดลงตามไปด้วย
หลายคนกลัวเอามีดผ่าเปิดท้องเป็นแนวยาว และ กังวลเรื่องแผลเป็นหลังการผ่าตัดความจริง ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน การผ่าตัดกระเพาะจะมีแผลที่ผิวเท่ารูเข็ม รอยแผลแค่เจาะรู ไม่เจ็บมาก ใช้เวลาไม่นานรอยแผลจะหายไป ปลอดภัย และ ฟื้นตัวไว
ใครสามารถทำการผ่าตัดลดน้ำหนักได้บ้าง ?
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- มีภาวะอ้วน หรือมีดัชนีมวลกายสูงกว่า 32.5 กก./ตร.ม. ขึ้นไป
- ผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาแล้วแต่ไม่ได้ผล
- เป็นผู้ที่ไม่ได้มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้หลังผ่าตัด เช่น เป็นโรคทางจิตเวช
วิตามิน 4 ชนิด ที่ควรตรวจหลังผ่าตัดกระเพาะอาหาร เพื่อการลดน้ำหนัก
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร หรือ Gastric Sleeve เป็นการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักที่มีผลให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมสารอาหารจำเป็นหลายชนิด ดังนั้น การตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุจึงเป็นสิ่งสำคัญหลังจากการผ่าตัดประเภทนี้ โดยเฉพาะหลังจากการผ่าตัด 6 เดือน เนื่องจากการขาดสารอาหารเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ต่อไปนี้คือประโยชน์ของการตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญหลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร
วิตามิน 4 ชนิด ที่ควรตรวจมีดังนี้
- ตรวจโฟเลท (Folate): โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดและช่วยในการสร้าง DNA และ RNA การขาดโฟเลตอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง เฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ได้รับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการพัฒนาภาวะนี้เนื่องจากการดูดซึมที่ลดลง
- ตรวจวิตามินบี 12 (B12): การดูดซึมวิตามินบี 12 มักจะลดลงอย่างมากหลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารเนื่องจากการลดลงของกรดในกระเพาะอาหารที่จำเป็นในการดูดซึมวิตามินนี้ วิตามินบี 12 มีบทบาทในการผลิตเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท การขาดวิตามินนี้สามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางประเภทเฉพาะและปัญหาสุขภาพจิต
- ตรวจวิตามินดี (D): วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส การขาดวิตามินดีมีความเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกอ่อนและกระดูกพรุน ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยมักจะพบกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการขาดวิตามินดี เนื่องจากการลดขนาดของกระเพาะอาหารทำให้ส่วนที่สำคัญในกระบวนการดูดซึมสารอาหารนี้ลดลง การตรวจวัดระดับวิตามินดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันและรักษาภาวะขาดวิตามินดีได้อย่างทันท่วงที
- ตรวจแคลเซียม (Ca+): แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับการมีกระดูกที่แข็งแรงและการทำงานปกติของกล้ามเนื้อและการส่งสัญญาณประสาท หลังการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร การดูดซึมแคลเซียมอาจลดลง เนื่องจากการลดการดูดซึมวิตามินดีซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียม การตรวจระดับแคลเซียมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนและภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้
การตรวจวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้หลังจากผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและการดูดซึมสารอาหารที่แปรผันได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะขาดสารอาหารร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบเหล่านี้ควรทำเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยอาจรวมถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเสริมสารอาหารและการปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อช่วยให้ระดับวิตามินและแร่ธาตุอยู่ในเกณฑ์ปกติและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ปรึกษาได้ทุกวัน 8:00 – 18:00 น.
โทร. 091-770-6640 หรือ 02-115-2111 ต่อ 1189