คุณมีโรคอ้วนแบบไหน ใน 6 แบบ

โรคอ้วน เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมไขมันในร่างกายมากเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง ปัจจุบันโรคอ้วนสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสาเหตุและลักษณะของการสะสมไขมัน ซึ่งการรักษาและแนวทางการจัดการจะแตกต่างกันออกไป

1. อ้วนทั้งตัว (Generalized Obesity)

ลักษณะ: โรคอ้วนประเภทนี้เกิดจากการสะสมไขมันทั่วร่างกาย โดยไม่มีบริเวณที่เด่นชัดมากกว่าบริเวณอื่น ซึ่งมักเกิดจากการบริโภคพลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายสามารถเผาผลาญได้ ส่งผลให้ไขมันสะสมทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา หน้าท้อง และสะโพก

สาเหตุ:

  • การบริโภคอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น อาหารทอด อาหารแปรรูป และน้ำตาล
  • การใช้พลังงานน้อยจากการขาดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมทางกาย
  • ปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีผลต่อระบบเผาผลาญ
  • พฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้อง เช่น การกินดึกหรือกินจุบจิบตลอดวัน

แนวทางการจัดการ:

  • ปรับพฤติกรรมการกินโดยลดปริมาณแคลอรีต่อวัน และเลือกอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีนไขมันต่ำ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
  • เพิ่มกิจกรรมทางกาย โดยออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการฝึกเวทเทรนนิ่ง
  • ใช้เทคนิคควบคุมพฤติกรรม เช่น การกินอย่างมีสติ (Mindful Eating)
  • ปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์เพื่อติดตามและปรับแผนการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

 

2. อ้วนลงพุง (Central Obesity)

ลักษณะ: ไขมันสะสมในช่องท้องและอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ลำไส้ ส่งผลให้รอบเอวขยายใหญ่ขึ้น มักทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวานชนิดที่ 2 และไขมันพอกตับ

สาเหตุ:

  • พฤติกรรมการกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงและไขมันทรานส์ เช่น ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มหวาน อาหารทอด
  • ความเครียดเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ส่งผลให้มีการสะสมไขมันหน้าท้องมากขึ้น
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งมีผลต่อระบบเผาผลาญไขมันในร่างกาย

แนวทางการจัดการ:

  • ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูงและอาหารที่มีไขมันทรานส์ เช่น เบเกอรี่และอาหารแปรรูป
  • เพิ่มอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ
  • ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่ง เช่น HIIT (High-Intensity Interval Training) เพื่อช่วยลดไขมันหน้าท้อง
  • ควบคุมน้ำหนักโดยปรับสมดุลพลังงานที่บริโภคเข้าไปและที่เผาผลาญออกไป

 

3. อ้วนจากฮอร์โมน (Hormonal Obesity)

ลักษณะ: ภาวะอ้วนที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ช้าลงและทำให้ไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น มักพบในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์หรือภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)

สาเหตุ:

  • ภาวะไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) ที่ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานลดลง
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลินที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานและ PCOS
  • ความผิดปกติของฮอร์โมนเลปติน (Leptin) และเกรลิน (Ghrelin) ซึ่งมีผลต่อความอยากอาหารและการสะสมไขมัน

แนวทางการจัดการ:

  • ตรวจระดับฮอร์โมนและรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ปรับพฤติกรรมการกิน โดยลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงและเพิ่มอาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและปรับสมดุลฮอร์โมน

 

4. อ้วนจากยาหรือโรคประจำตัว (Obesity due to Medications or Medical Conditions)

ลักษณะ: ภาวะอ้วนที่เกิดจากผลข้างเคียงของยา หรือโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อระบบเผาผลาญ

สาเหตุ:

  • การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาต้านเศร้า และยากันชัก
  • โรคเรื้อรัง เช่น โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s syndrome)
  • ระบบเผาผลาญผิดปกติจากโรคต่าง ๆ

แนวทางการจัดการ:

  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาและทางเลือกอื่น
  • ปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก
  • ตรวจเช็กร่างกายเพื่อวางแผนรักษาร่วมกับแพทย์

 

5. อ้วนจากพฤติกรรมการกิน (Dietary Obesity)

ลักษณะ: ภาวะอ้วนที่เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น กินของหวานหรืออาหารไขมันสูงบ่อยเกินไป

สาเหตุ:

  • กินตามอารมณ์ เช่น ความเครียดหรือเบื่อหน่าย
  • การกินอาหารแคลอรีสูงโดยไม่จำกัดปริมาณ
  • ขาดการควบคุมพฤติกรรมการบริโภค

แนวทางการจัดการ:

  • ควบคุมปริมาณแคลอรีและเลือกอาหารที่มีประโยชน์
  • ใช้วิธี Mindful Eating เพื่อฝึกสติในการกิน
  • หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบและปรับตารางการกินให้เป็นระบบ

 

6. อ้วนจากการขาดการออกกำลังกาย (Sedentary Obesity)

ลักษณะ: การมีไขมันสะสมจากการไม่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ

สาเหตุ:

  • การใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่ง เช่น นั่งทำงานเป็นเวลานาน
  • การไม่ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมทางกายน้อย
  • พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ เช่น การใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน

แนวทางการจัดการ:

  • เพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์
  • ตั้งเป้าหมายออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • ปรับไลฟ์สไตล์ให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น

Slim Clinic @ CH9 Wellness Center พร้อมดูแลคุณ

เราให้บริการดูแลและจัดการปัญหาโรคอ้วนแบบองค์รวมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมแนวทางลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและยั่งยืน หากคุณต้องการคำปรึกษา ติดต่อเราได้วันนี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ปรึกษาได้ทุกวัน 8:00 – 18:00 น.
โทร. 091-770-6640 หรือ 02-115-2111 ต่อ 1189

คุณมีโรคอ้วนแบบไหน ใน 6 แบบ