โรคพุ่มพวง SLE โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง
โรคพุ่มพวงคืออะไร และเกิดจากสาเหตุใด?
Systemic Lupus Erythematosus (SLE) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ โรคพุ่มพวง เป็นโรค ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง (Autoimmune Disease) ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติจะโจมตีเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่สามารถส่งผลกระทบต่อหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ข้อ กระดูก ไต หัวใจ ปอด สมอง และระบบประสาท
สาเหตุของโรคพุ่มพวง (SLE)
แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคพุ่มพวงจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าโรคนี้มีปัจจัยเกี่ยวข้องหลายประการ ได้แก่
- พันธุกรรม (Genetics)
- งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยเป็น SLE มีโอกาสเกิดโรคสูงขึ้นถึง 20 เท่า เมื่อเทียบกับคนทั่วไป (Ref: Harley et al., Nature Reviews Rheumatology, 2009)
- ยีนที่เกี่ยวข้องกับ SLE ได้แก่ HLA-DR2 และ HLA-DR3 รวมถึงยีน IRF5, STAT4, PTPN22 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของภูมิคุ้มกัน
- ฮอร์โมน (Hormonal Factors)
- โรคพุ่มพวงพบมากใน เพศหญิง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับ ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง (Ref: Mok et al., Best Practice & Research Clinical Rheumatology, 2003)
- เอสโตรเจนมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันไวต่อการกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะภูมิต่อต้านตนเองได้ง่าย
- สิ่งแวดล้อม (Environmental Triggers)
- แสงแดด (UV Light): รังสี UV สามารถกระตุ้นเซลล์ที่ตายแล้วให้ปล่อย Autoantigen ออกมา ทำให้ภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดและโจมตีเซลล์ปกติของร่างกาย (Ref: D’Cruz et al., Nature Clinical Practice Rheumatology, 2006)
- การติดเชื้อ (Viral Infection): งานวิจัยพบว่าไวรัสบางชนิด เช่น Epstein-Barr Virus (EBV) อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด SLE โดยกระตุ้นการสร้าง Autoantibodies (Ref: James et al., New England Journal of Medicine, 2007)
- สารเคมีบางชนิด: เช่น ซิลิกา (Silica), ควันบุหรี่, และสาร BPA ในพลาสติก อาจรบกวนระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค SLE (Ref: Parks et al., Environmental Health Perspectives, 2010)
- ยาและวัคซีนบางชนิด (Drug-Induced Lupus – DIL)
- มียาบางกลุ่มที่กระตุ้นให้เกิด Lupus-like syndrome ได้แก่
- ยาลดความดันโลหิต: Hydralazine, Methyldopa, Captopril
- ยาต้านชัก: Phenytoin, Carbamazepine
- ยาต้านจังหวะหัวใจผิดปกติ: Procainamide, Quinidine
- ยาปฏิชีวนะบางชนิด: Isoniazid, Minocycline
- อาการที่เกิดจากยาเหล่านี้มักหายไปเมื่อหยุดใช้ยา
- มียาบางกลุ่มที่กระตุ้นให้เกิด Lupus-like syndrome ได้แก่
ทำอย่างไรให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น?
แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคพุ่มพวงให้หายขาด แต่การปรับพฤติกรรมสามารถช่วยลดการกำเริบของโรคและควบคุมอาการได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50+
- ออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ หรือว่ายน้ำ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- รับประทานอาหารต้านการอักเสบ เช่น ปลาที่มีโอเมก้า-3 ผักใบเขียว และถั่ว
- ลดความเครียด โดยใช้เทคนิคเช่น สมาธิหรือโยคะ
- พบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการและปรับแผนการรักษา
Plasmapheresis: ทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคพุ่มพวง
Plasmapheresis หรือ การแลกเปลี่ยนพลาสมา เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ กรองพลาสมาออกจากเลือด เพื่อลดระดับแอนติบอดีที่ผิดปกติ
Plasmapheresis ทำงานอย่างไร?
- นำเลือดออกจากร่างกาย ผ่านเครื่องกรองพลาสมา
- กรองเอา Autoantibodies และสารอักเสบออก
- เติมพลาสมาหรือสารทดแทน เพื่อคืนสมดุลให้ร่างกาย
- ส่งเลือดที่ผ่านการกรองกลับเข้าสู่ร่างกาย
Plasmapheresis เหมาะกับใคร?
- ผู้ป่วย SLE ที่มีภาวะ ไตอักเสบรุนแรง (Lupus Nephritis)
- ผู้ที่มี SLE Crisis หรืออาการกำเริบรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยากดภูมิ
- ผู้ป่วยที่มี Antiphospholipid Syndrome (APS) ที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดผิดปกติ
หลักฐานทางการแพทย์เกี่ยวกับ Plasmapheresis
- งานวิจัยพบว่า Plasmapheresis สามารถช่วยลดระดับ Anti-dsDNA และลดอาการอักเสบในผู้ป่วย SLE (Ref: Liu et al., Transfusion Medicine, 2015)
- การศึกษาแบบ Systematic Review พบว่าการใช้ Plasmapheresis ร่วมกับ ยากดภูมิ (Immunosuppressants) สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย SLE ที่มีภาวะไตวายได้ถึง 50% (Ref: Clark et al., Annals of Rheumatic Diseases, 2017)
Plasmapheresis ทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ผู้ป่วย SLE ใช้ชีวิตได้ยาวนานขึ้น
- Plasmapheresis ช่วยลด Autoantibodies และควบคุมอาการของ SLE
- สามารถใช้ร่วมกับยาอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
- เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายากดภูมิ
สนใจรักษาด้วย Plasmapheresis ติดต่อ CH9 Wellness Center วันนี้
