ง่วงนอนตลอดเวลา สัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติ
ทำไมถึงรู้สึกง่วงนอนทั้งวัน?
อาการง่วงนอนตลอดวัน (Excessive Daytime Sleepiness – EDS) ไม่ใช่เพียงแค่ผลของการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ยังอาจเกิดจากปัจจัยทางสุขภาพที่ซ่อนอยู่ เช่น ความผิดปกติของการนอน โรคเรื้อรัง หรือภาวะขาดสารอาหาร อาการนี้สามารถส่งผลต่อ สมรรถนะการทำงาน อารมณ์ และสุขภาพโดยรวม และอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษา
สาเหตุของอาการง่วงนอนทั้งวัน
1. การนอนหลับไม่มีคุณภาพ (Poor Sleep Hygiene)
- เข้านอนไม่เป็นเวลาและตื่นไม่เป็นเวลา
- การใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
- สภาพแวดล้อมการนอนที่ไม่เหมาะสม เช่น เสียงดัง หรือห้องนอนที่ไม่มืดสนิท
2. โรคเกี่ยวกับการนอน (Sleep Disorders)
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA): ภาวะที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ส่งผลให้ต้องตื่นขึ้นเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้รู้สึกง่วงแม้จะนอนนานเพียงพอ (Ref: American Academy of Sleep Medicine, 2019)
- โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Insomnia): ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่มีคุณภาพ
- โรคง่วงนอนหลับ (Narcolepsy): ระบบประสาทไม่สามารถควบคุมวงจรการนอนได้ ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะหลับลึกผิดปกติ
- ภาวะขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome – RLS): ทำให้ต้องขยับขาหรือเกิดอาการกระตุกขณะนอน ส่งผลให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ
3. โรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอาการอ่อนเพลียและง่วงนอน
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus): ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สมดุลทำให้พลังงานลดลง
- ภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroidism): การเผาผลาญพลังงานลดลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา (Ref: National Institutes of Health, 2021)
- โรคโลหิตจาง (Anemia): ขาดธาตุเหล็กหรือวิตามินบี 12 ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจนและรู้สึกอ่อนเพลีย
4. ภาวะขาดสารอาหารและพลังงาน (Nutrient Deficiencies)
- ขาดวิตามินบี 12 (Vitamin B12 Deficiency): ส่งผลต่อการผลิตพลังงานและการทำงานของสมอง
- ขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม: ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ระดับ NAD+ ลดลง: NAD+ เป็นโคเอนไซม์ที่สำคัญต่อการสร้างพลังงานของเซลล์ หากระดับต่ำจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีแรง (Ref: Chini et al., Nature Reviews Molecular Cell Biology, 2021)
อาการง่วงนอนตลอดวันเป็นโรคอะไรได้บ้าง?
หากคุณรู้สึกง่วงนอนมากผิดปกติแม้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาจเป็นสัญญาณของโรคต่อไปนี้
- Chronic Fatigue Syndrome (CFS) หรือ กลุ่มอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
- อ่อนเพลียรุนแรงแม้พักผ่อนเต็มที่
- ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และสมาธิสั้น
- Idiopathic Hypersomnia (IH) หรือ ภาวะง่วงนอนผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
- นอนหลับนานแต่ยังรู้สึกง่วง
- ง่วงมากจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
- ภาวะพร่อง NAD+ ในร่างกาย (NAD+ Deficiency Syndrome)
- NAD+ เป็นโคเอนไซม์สำคัญที่ช่วยผลิตพลังงานของเซลล์ หากลดลงจะทำให้เซลล์ทำงานได้ไม่เต็มที่
- อาการหลัก ได้แก่ อ่อนเพลียเรื้อรัง สมองล้า และการเผาผลาญพลังงานต่ำ (Ref: Imai et al., Cell Metabolism, 2016)
ตรวจ Sleep Test: วิธีวินิจฉัยปัญหาการนอน
หากสงสัยว่าคุณมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับหรือโรคเกี่ยวกับการนอน การตรวจ Sleep Test (Polysomnography) สามารถช่วยวินิจฉัยโรคได้
Sleep Test ตรวจอะไรบ้าง?
- ตรวจระดับออกซิเจนและอัตราการเต้นของหัวใจขณะนอน
- ตรวจคลื่นสมองและวงจรการนอน
- ตรวจการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและอัตราการหายใจ
แนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการ
- ง่วงมากผิดปกติทั้งที่ได้นอนเต็มที่
- นอนกรนเสียงดัง หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่น
วิธีแก้อาการง่วงนอนตลอดวัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การขาดน้ำสามารถทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและสมองทำงานช้าลง ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน เพื่อรักษาความสดชื่นและเพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนในร่างกาย
- ขยับร่างกายหรือออกกำลังกายเบาๆ หากรู้สึกง่วงระหว่างวัน ลอง ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เดินรอบที่ทำงาน หรือออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเร็ว 5-10 นาที จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น
- รับแสงแดดตอนเช้า แสงแดดยามเช้าช่วยปรับสมดุลของ Circadian Rhythm (นาฬิกาชีวภาพของร่างกาย) และช่วยให้ฮอร์โมน เซโรโทนิน (Serotonin) ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อระดับพลังงานและความสดชื่นของร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการใช้มือถือก่อนนอน แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์รบกวนการหลั่ง เมลาโทนิน (Melatonin) ทำให้คุณนอนหลับยากขึ้นและตื่นมาง่วงนอน ควรงดใช้มือถืออย่างน้อย 30-60 นาที ก่อนนอน
- กินอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังงาน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะทำให้พลังงานพุ่งขึ้นแล้วตกลงอย่างรวดเร็ว ควรเน้น อาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น อะโวคาโด ไข่ อัลมอนด์และวอลนัทปลาแซลมอน
- ใช้เทคนิคหายใจลึกๆ (Deep Breathing Exercises) การสูดหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกช้าๆ 4-5 ครั้ง ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้สมองและช่วยให้ร่างกายตื่นตัว
- งีบสั้นๆ (Power Nap) ช่วงกลางวัน การงีบหลับ 10-20 นาทีช่วงบ่ายสามารถช่วยฟื้นฟูพลังงานและลดอาการง่วงนอน โดยไม่ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะหลับลึกเกินไป
NAD+ Therapy: ทางเลือกใหม่ในการแก้อาการง่วงนอนและอ่อนเพลียเรื้อรัง
NAD+ คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อพลังงานของร่างกาย?
NAD+ (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) เป็นโคเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ โดยเฉพาะใน ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงานของร่างกาย NAD+ ช่วยกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นต่อการสร้าง ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานหลักที่เซลล์ใช้ในการทำงาน
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือเมื่อร่างกายเผชิญกับ ความเครียดออกซิเดชัน โรคเรื้อรัง และภาวะขาดสารอาหาร ระดับ NAD+ ในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้การผลิตพลังงานของเซลล์ลดลง ทำให้เกิดอาการ อ่อนเพลียเรื้อรัง สมองล้า และภาวะง่วงนอนตลอดวัน
งานวิจัยจาก Harvard Medical School พบว่า การเสริม NAD+ สามารถช่วยฟื้นฟูพลังงานของเซลล์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ (Ref: Sinclair et al., Science, 2018)
NAD+ ต่ำส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย?
ระดับ NAD+ ที่ต่ำลงมีความเกี่ยวข้องกับอาการและโรคหลายชนิด เช่น
- อ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome – CFS)
- ภาวะสมองล้า (Brain Fog) ทำให้สมาธิลดลงและความจำแย่ลง
- ภาวะง่วงนอนผิดปกติ (Excessive Daytime Sleepiness – EDS)
- การเผาผลาญพลังงานลดลง ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย
- ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางอารมณ์
งานวิจัยของ Imai et al., (Cell Metabolism, 2016) ระบุว่า ระดับ NAD+ ที่ลดลงทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับพลังงาน เช่น โรคไมโตคอนเดรียทำงานผิดปกติ (Mitochondrial Dysfunction) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการอ่อนเพลีย
NAD+ IV Therapy คืออะไร?
NAD+ IV Therapy เป็นการให้ NAD+ เข้าสู่ร่างกายทางหลอดเลือดโดยตรง เพื่อช่วยให้เซลล์สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที
ข้อดีของการให้ NAD+ ทาง IV Drip คือ
- การดูดซึมรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าการรับประทาน
- ช่วยฟื้นฟูระดับ NAD+ ในร่างกายได้เร็วขึ้น
- ไม่ผ่านกระบวนการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายได้รับสารที่มีความเข้มข้นสูงสุด
งานวิจัยทางการแพทย์พบว่า การให้ NAD+ ผ่าน IV ช่วยฟื้นฟูระดับพลังงานและลดอาการอ่อนเพลียได้ดีกว่าการรับประทาน (Ref: Grant et al., Frontiers in Aging Neuroscience, 2019)
NAD+ IV Therapy ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียและง่วงนอนได้อย่างไร?
1. เพิ่มระดับพลังงาน ลดอาการอ่อนเพลีย
NAD+ เป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ไมโทคอนเดรียผลิต ATP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยพบว่าการเพิ่มระดับ NAD+ ในร่างกายช่วยลดอาการเหนื่อยล้าได้ถึง 40-60% ภายใน 2-4 สัปดาห์ (Ref: Zhang et al., Journal of Cellular Physiology, 2020)
2. ฟื้นฟูการทำงานของสมอง ลดอาการ Brain Fog
ระดับ NAD+ ที่ต่ำลงมีความเกี่ยวข้องกับภาวะ สมองล้า (Brain Fog), ภาวะสมาธิสั้น และความจำลดลง โดยการให้ NAD+ IV สามารถช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทและปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกตื่นตัวมากขึ้น (Ref: Vonderheide et al., Neuroscience Letters, 2021)
3. ปรับสมดุลการเผาผลาญพลังงาน
NAD+ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์ Sirtuins (SIRT1-7) ซึ่งช่วยควบคุม กระบวนการเผาผลาญพลังงานและอายุขัยของเซลล์ งานวิจัยจาก Harvard พบว่าการเพิ่มระดับ NAD+ สามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น (Ref: Sinclair et al., Cell, 2013)
4. ปรับปรุงคุณภาพการนอน ลดภาวะง่วงนอนตลอดวัน
การเพิ่ม NAD+ สามารถช่วยให้ระบบ Circadian Rhythm หรือวงจรการนอนหลับของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวะง่วงนอนผิดปกติสามารถพักผ่อนได้อย่างมีคุณภาพและตื่นมาพร้อมความสดชื่น (Ref: Politis et al., Sleep Medicine Reviews, 2022)
NAD+ IV Therapy เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีอาการ อ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome – CFS)
- ผู้ที่มีปัญหา ง่วงนอนตลอดวัน (Excessive Daytime Sleepiness – EDS)
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงานและสมรรถนะของสมอง
- ผู้ที่ทำงานหนักและต้องการฟื้นฟูพลังงานอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่ต้องการ Anti-Aging Therapy เพื่อชะลอความเสื่อมของเซลล์
สรุป: วิธีแก้อาการง่วงนอนและอ่อนเพลียเรื้อรัง
- ตรวจ Sleep Test เพื่อวินิจฉัยปัญหาการนอน
- ปรับพฤติกรรมการนอน หลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าก่อนนอน
- เสริม NAD+ และวิตามิน เพื่อฟื้นฟูพลังงาน
- พบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง
CH9 Wellness Center พร้อมให้บริการ Sleep Test, Vitamin Energy Booster และ NAD+ IV Therapy
